วิเคราะห์วรรณกรรม
"หลายชีวิต " ในแง่มุมสะท้อนบทบาททางพระพุทธศาสนา ๒
ต่อ ..
ในเอกสารประกอบคำบรรยาย
กระบวนวิชา TH ๒๕๗
วรรณคดีวิจักษณ์
เป็นกระบวนวิชาหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงกระบวนวิธีในการพิจารณาสังเกต
บทวรรณกรรมต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งแท้จริงแล้ว นักศึกษาที่ศึกษาในกระบวนวิชานี้
จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งหากนำไปใช้ในการเรียนรู้การแปลวรรณกรรมเก่าแก่ของไทย และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
หากผู้ศึกษาได้คิดวิเคราะห์และจับสังเกตได้ว่า วรรณกรรที่เป็นของไทย
ในอดีตทั้งหมดมีบทบาทพระพุทธศาสนาแทรกซึมอยู่ทั้งทางตรงและทางอ้อม และงานวรรณกรรมของไทย
ที่แต่งขึ้นจากกวีหรือนักเขียนคนไทย ในปัจจุบัน
ก็มักจะมีบทบาทของพระพุทธศาสนาอยู่ทั้งที่แสดงออกมาทางตรงและโดยอ้อม
ขึ้นอยู่กับเนื้อหาของบทวรรณกรรมนั้น ๆ
จึงเกิดคำถามค้างคาใจขึ้นมาว่า จะเป็นไปได้ไหมว่า
แม้ปัญหาทางสังคมจะมีมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงไปของจิตใจมนุษย์ที่พึ่งพาความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี
และอำนาจแห่งไสยศาสตร์ ทำให้จิตใจตกต่ำ และขุ่นมั่ว
แต่กระนั้นก็ตามอย่างที่กล่าวไว้ในบทที่ผ่านมาว่า
แม้สังคมจะมีปัญหาแต่ก็ใช่ว่าบทบาทของพระพุทธศาสนาจะแปรเปลี่ยนไป โดยสิ้นเชิงไม่
อย่างน้อย การที่พระพุทธศาสนาได้ปรับตนให้เข้ากับสังคมได้ แม้จะเป็นไปในทางที่พระพุทธเจ้าไม่ตรัสสรรเสริญ
แต่ก็นับว่า
เป็นความสำเร็จหนึ่งซึ่งทำให้สังคมไทยยังไม่คลายความเชื่อและวิถีทางแห่งบาทบาทและอิทธิพลของพระพุทธศาสนา
เช่นนั้น เป็นไปได้ไหมว่า
สังคมไทยยังมีสิ่งที่ช่วยประครองให้บทบาทของพระพุทธศาสนาไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
มาจากวรรณกรรมที่คงอยู่ของบทบาทและความสำคัญของพระพุทธศาสนา จากการศึกษาเนื้อเรื่องวรรณกรรมเก่าแก่ของไทย
หลากหลายเรื่อง ท่านจะพบบทกวี ที่ผู้ที่ไม่คุนชินกับการอ่านวรรณกรรมประเภทร้อยกรอง
จะต้องแปลกใจ
บทความนี้จะกล่าวไปตามเนื้อหาของบทละครแล้วจู่ ๆ ก็จะเกิดปรากฏการณ์ฟ้าร้อง
ฝนตก โดยไม่มีบทรองรับ หรือกำลังกล่าวถึงชายหญิงคู่หนึ่งอยู่ดี ๆ
ก็บังเกิดบทกล่าวเอ่ยถึงแมลงภู่กับดอกไม้
หรือไม่ก็กล่าวถึงการเล่นว่าวปักเป้ากับว่าวกุลา
ไม่เช่นนั้นก็เกิดบทร้อยกรองที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อความก่อนหน้านี้
อย่างทันทีทันใด เป็นบทรามสูร กับนางเมขลา ล่อแก้วเป็นต้น สิ่งเหล่านี้คืออะไร และเกี่ยวข้องกันอย่างไร
บทที่สืบเนื่องต่อจากบทรักชายหญิง
ที่กวีใช้คำร้อยกรองมาเรียงต่อความโดยไม่มีเนื้อความที่เนื่องเกี่ยวกันนั้น
แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ หากแต่สิ่งที่กล่าวถึงนั้นมีความเกี่ยวเนื่อง
ข้องสัมพันธ์กันโดยหลักแล้วแท้จริง เพราะบทที่กล่าวถึงนั้น คือบทอัจศจรรย์
หรือบทเข้าพระเข้านาง หรือบทความสัมพันธ์ทางเพศ
เราจะมองเห็นได้ว่า
การแสดงออกของกวีในบทประพันธ์นั้น ๆ
เป็นการแสงออกที่สืบเนื่องมาจากความคิดความเชื่อทางศาสนาเป็นสำคัญ
เพราะเรามิอาจจะปฏิเสธได้ว่า ศาสนามีผลต่อความคิดและการกระทำของผู้คนในสังคม
สังคมได้รับการหล่อหลอมจากธรรมที่มาจากศาสนาเป็นสำคัญ ดังนั้นบทอัศจรรย์ที่ยกกล่าวมานี้
จึงเป็นผลที่แสดงออกมาให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า
บทบาทและอิทธิพลของพระพุทธศาสนามีส่วนสำคัญต่อสังคมและวรรณกรรม อยู่ไม่มากก็น้อย
สังคมยังต้องการรับความบันเทิงใจและการหย่อนใจจาก บทวรรณกรรม ละคร เรื่องเล่า อยู่ ดังนั้นกวี
หรือนักประพันธ์จึงยังมีความสำคัญต่อความเป็นไปแห่งสังคม
และยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้วาทะทางธรรมะและคติความเชื่อความคิด
และบทบาทของพระพุทธศาสนายังคงมีบทบาทอยู่ในทุกการณ์เวลา ในอดีตจนถึงปัจจุบัน สังคมไทยสรรสร้างกวีขึ้นมามากมาย
มีทั้งที่เป็นหน้าใหม่ และที่เก่าแก่ ถึงพริกถึงข่า ก็มีมาก
กวีเหล่านั้นมีส่วนสำคัญจริงหรือที่ทำให้บทบาทและอิทธิพลของพระพุทธศาสนาของสังคมไทยยังคงมีอยู่ และกวีเหล่านี้ใช้อะไรเป็นหลักในการถ่ายทอดและแสดงให้เห็นว่าบทบาทเหล่านี้ยังมีอิทธิพลต่องานเขียนอยู่จริง
หลายชีวิต บทประพันธ์ของหม่อมราชวัง คึกฤทธิ์
ปราโมช
คงเป็นคำตอบที่ดีสำหรับการตอบคำถามที่คาใจอยู่นี้ มากทีเดียว
จากบทย่อหลังปกของนิยายเล่มนี้ กล่าวว่า
“ หลายชีวิต......
หลายชีวิตที่แตกต่างกัน
คนละวัย
คนละเพศ
คนละอาชีพ
แต่มาจมลงพร้อมกัน
ณ สถานที่เดียวกัน
และเวลาเดียวกัน ”
มูลเหตุแห่งคำถาม
ที่ถามว่า หลายชีวิตนี้เหตุใดจึงมีจุดจบที่เหมือนกัน ทั้งที่ มีความเป็นมาแห่งชีวิตที่ต่างกัน
มีแหล่งกำเนิดที่ต่างกัน คำถามนี้ ท่าน คึกฤทธิ์ ได้ประสบกับตนเองมาก่อน
ก่อนที่จะเริ่มต้นเขียนนิยายที่เป็นเรื่องสั้นหลาย ๆ เรื่องแต่งรวมกัน ขึ้น
และให้ชื่อเรื่องว่า “หลายชีวิต”
จากคำนำจากผู้เขียนคือท่าน
ศึกฤทธิ์ กล่าวไว้ได้ใจความสำคัญว่า สาเหตุที่ท่านเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
มูลเหตุนั้น มาจากที่ท่านได้นั่งรถยนต์ไปเที่ยวกับคณะนักเขียน ไปยังศรีราชา
ระหว่างที่กำลังเดินทางนั้นท่านและคณะก็ได้ประสบเห็นรถตกสะพาน มองเห็นซากรถ
ในคณะร่วทั้งท่าน ศึกฤทธิ์ ก็ได้วิจารณ์กันว่าคงมีผู้คนล้มหายตายจากในกรณีเป็นมากทีเดียวแน่ ก็มีตอนหนึ่งคนหนึ่งพูดขึ้นมาแบบคนโบราณว่า “ทำบุญทำกรรมอะไรกันมาหนอ ต่างคนก็ต่างชีวิต มาจากไหนกันก็ไม่รู้
แต่ทำไมถึงมาตายพร้อมกัน” จากมูลเหตุแห่งคำถามนั้น
ก็กลายมาเป็นประเด็นที่ท่านศึกฤทธิ์และคณะเห็นว่า ทำไมไม่แต่งขึ้นเป็นบทประพันธ์
โดยเขียนเป็นเรื่องสั้น หลาย ๆ เรื่องรวมกัน โดยหลาย ๆ ท่านแต่งร่วมกัน แต่กระนั้นก็ตาม
เมื่อท่านคึกฤทธิ์ได้แต่งโดยเริ่มเรื่อง “ไอ้ลอย”ไปตีพิมพ์ก่อน
ก็ปรากฏว่าจากที่รับปากกันไว้ว่าจะร่วมกันแต่งเรื่องสั้นนี้
ก็ไม่เป็นไปตามที่กล่าวไว้ ท่านคึกฤทธิ์จึงต้องรับงานเขียนนี้เองแต่ท่านเพียงผู้เดียว
อ่านต่อ ๓
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น